
เงินเดือนเท่านี้... ต้องเสียภาษี ปี 2567 เท่าไหร่?

รู้จักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบเข้าใจง่ายฉบับพนักงานเงินเดือนกันดีกว่า
เคยสงสัยไหมว่าเงินเดือนของเราต้องเสียภาษีเท่าไหร่? ต้องคำนวณภาษีอย่างไรให้สามารถวางแผนการลดหย่อนภาษีได้อย่างคุ้มค่า วันนี้แอดมินมีคำตอบพร้อมผู้ช่วยให้ครบจบในที่เดียว มาทำความเข้าใจเรื่องภาษีแบบไม่ปวดหัวกันเลย!!
ก่อนอื่นเลยเราต้องรู้ก่อนว่าหากเรามีรายได้ตั้งแต่เดือนละ 10,000 บาท หรือ 120,000 บาทต่อปี จะต้องทำการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแม้ว่าเราจะได้รับการยกเว้นภาษีก็ตาม โดยต้องยื่นแบบภายในวันที่ 31 มีนาคม ของปีถัดไป
สามารถทำได้ผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่
- ช่องทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร
- แอปพลิเคชัน RD Smart Tax ดาวน์โหลดได้ที่
o Google Play Store สำหรับ Andriod
o App Store สำหรับ iOS
3. ยื่นภาษีด้วยตัวเองที่กรมสรรพากรหรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา
ก่อนจะคำณวนภาษีได้ ต้องรู้อะไรก่อนบ้าง?
หลักการคำนวณภาษี คือ “เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี = ภาษีเงินได้” อาจจะฟังดูง่าย แต่สำหรับคนที่ยังไม่เข้าใจว่า เงินได้สุทธิมาจากไหน? หรืออัตราภาษีเป็นเท่าไหร่? ก็อาจจะงงกับหลักการนี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นวันนี้มาทำความเข้าใจก่อนว่าเราต้องรู้อะไรบ้าง
- “เงินได้” คือ “รายได้” ในทางภาษีเรียกว่า “เงินได้” ซึ่งหมายถึง เงินได้ของบุคคลใดๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคมของปี ซึ่งในที่นี้เราจะหมายถึง “เงินเดือน” นั่นเอง
- “เงินได้สุทธิ” คือ รายได้ทั้งหมดทั้งปีที่หักลบค่าลดหย่อนภาษี และค่าใช้จ่ายต่างๆแล้ว เหลือเท่าไหร่คือเงินได้สุทธิโดยคิดตามสูตรได้ ดังนี้ “เงินได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อนภาษี = เงินได้สุทธิ”
- “ค่าใช้จ่าย” คือ ค่าใช้จ่ายที่กฎหมายกำหนดขึ้นเพื่อให้ผู้มีเงินได้ใช้ในการคำนวณภาษี ค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการคำนวณภาษีเท่ากับ 100,000 บาท ซึ่งไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง
- “ค่าลดหย่อนภาษี” คือ รายการที่กฎหมายกำหนดไว้ให้สามารถนำไปหักออกจากเงินได้หลังจากที่หักค่าใช้จ่ายแล้ว เราสามารถตรวจสอบค่าลดหย่อนภาษีที่กฎหมายกำหนดไว้ที่ได้ สิทธิลดหย่อนภาษี ปี 2567
- “อัตราภาษี” คือ อัตราส่วนที่กำหนดว่าผู้มีเงินได้ต้องจ่ายภาษีเป็นจำนวนกี่ % ของรายได้สุทธิ โดยคิดอัตราภาษีแบบขั้นบันได คือยิ่งมีเงินได้สุทธิมากเท่าไร ยิ่งเสียภาษีมากเท่านั้น
วิธีคำนวณภาษีที่ต้องจ่ายแบบขั้นบันได
เมื่อเข้าใจหลักการเบื้องต้นแล้ว ทีนี้เรามาต่อกันที่อัตราภาษีที่กำหนดตามรายได้สุทธิต่อปีแบบขั้นบันได นั่นหมายความว่า หากเรามีรายได้สูงภาษีก็จะสูงตามไปด้วย แต่อย่าเพิ่งตกใจไปค่ะเพราะอย่าลืมว่ารายได้ที่จะนำมาคำนวณภาษีนั้นจะมาจากรายได้สุทธิที่หักลบค่าลดหย่อนภาษีไปแล้วจึงจะนำมาคิดภาษี ทีนี้เห็นประโยชน์ของการวางแผนลดหย่อนภาษีแล้วใช่ม๊า...

จากตารางจะแสดงให้เห็นภาพคร่าวๆได้ว่าภาษีที่ต้องเสียเมื่อเทียบกับรายได้ต่อปีนั้นประมาณเท่าไหร่ ส่วนวิธีการคิดนั้นก็ให้ยึดหลักตามสูตรนี้ได้เลย
[(เงินได้สุทธิ - เงินได้สุทธิสูงสุดของขั้นก่อนหน้า) x อัตราภาษี ]+ ภาษีสะสมสูงสุดของขั้นก่อนหน้า = ภาษี
ที่นี้เราลองมาดูตัวอย่างการคิดภาษีจากเงินเดือนกันค่ะ
สมมติว่านาย A มีเงินเดือน 50,000 บาท = มีรายได้ต่อปี 600,000 บาท (50,000 x 12 เดือน)
ขั้นที่ 1 รายได้ 150,000 แรก ได้รับการ ยกเว้นภาษี
ขั้นที่ 2 รายได้ตั้งแต่ 150,001 - 300,000 คิดอัตราภาษี 5% โดยคำนวณเฉพาะส่วนที่เกิน 150,000 บาท แต่ไม่เกิน 300,000 คำนวณ ดังนี้ 150,000 x 5% = 7,500 บาท
ขั้นที่ 3 รายได้ตั้งแต่ 300,001 - 500,000 คิดอัตราภาษี 10% โดยคำนวณเฉพาะส่วนที่เกิน 300,000 บาท แต่ไม่เกิน 500,000 คำนวณ ดังนี้ 200,000 x 10% = 20,000 บาท
ขั้นที่ 4 รายได้ตั้งแต่ 500,001 - 600,000 คิดอัตราภาษี 15% โดยคำนวณเฉพาะส่วนที่เกิน 500,000 บาท แต่ไม่เกิน 600,000 คำนวณ ดังนี้ 100,000 x 15% = 15,000 บาท
เมื่อได้ภาษีครบทุกขั้นแล้ว ให้นำมาบวกรวมกัน 7,500 + 20,000 + 15,000 = 42,500 บาท คือภาษีที่ต้องชำระ
จากตัวอย่างข้างต้นนี้ เป็นการคำนวณรายได้ที่ยังไม่หักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนภาษีก่อนนำมาคำนวณนะคะ ในความเป็นจริงแต่ละคนจะมีค่าลดหย่อนไม่เท่ากัน ก็ให้นำมาลบออกก่อนจะเริ่มคำนวณได้เลย แต่ใครหากอ่านแล้วยังงงๆกันอยู่ ไม่แน่ใจว่าคำนวณถูกรึป่าว แนะนำว่าลองเข้าไปคำนวณภาษีง่ายๆด้วยตัวเองได้เลยที่ >> โปรแกรมคำนวณภาษี เพียงกรอกข้อมูลจากนั้นระบบจะคำนวณภาษีที่ต้องชำระ หรือได้คืนมาให้ทราบได้เลย
เคล็ดลับลดหย่อนภาษีสุดคุ้ม!
แล้วมนุษย์เงินเดือนอย่างเรา จะวางแผนลดหย่อนภาษียังงัยให้คุ้มค่าดีนะ จะเอาไปลงทุนหรือทำอะไรเพื่อให้ได้สิทธิลดหย่อนภาษีก็อาจจะยังไม่มีความรู้มากพอและยังต้องคำนึงถึงความเสี่ยงเพื่อให้เงินเดือนในกระเป๋าเราปลอดภัยและคุ้มค่าที่สุด แอดมินขอแนะนำให้พนักงานเงินเดือนอย่างเราๆ มีประกันชีวิตและประกันสุขภาพติดไว้ค่ะ ถึงแม้อาจจะมีสิทธิสวัสดิการหรือประกันสังคมอยู่แล้ว แต่บางทีก็อาจจะไม่เพียงพอ ถ้ายังใครยังไม่มีลองเข้าไปดูรายละเอียดที่ เว็บไซต์ Krungsri General Insurance Broker ได้เลยค่ะ มีแบบประกันให้เลือกตามงบประมาณมากมาย โดยเราสามารถนำเบี้ยของประกันสุขภาพไปหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท แต่เบี้ยที่ร่วมกับประกันชีวิตแบบทั่วไป จะสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 100,000 บาท เห็นมั๊ยคะเท่านี้เราก็ได้สิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มมาแล้ว
แหล่งที่มา
: https://www.ttbbank.com/th/fin-tips/detail/calculate-tax-2023
: https://www.finnomena.com/planet46/salary-income-tax/
: https://www.finnomena.com/z-admin/tax-computation/
เรียบเรียงบทความ โดย : เพลินเพลิน